บริหารเงินอย่างไร ? เมื่อได้เงินก้อนโต

หากพูดถึง “เงินก้อนโต” ย่อมเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ล้วนปรารถนา ไม่ว่าจะได้เงินนั้นมาจาก อาทิเช่น  มรดก  เงินรางวัล  โบนัส เงินบำเหน็จ เงินเกษียณ กำไรจากการทำธุรกิจ เป็นต้น  เราจะมาพูดถึงหลักการบริหารเงินอย่างไร ให้เงินก้อนโตนั้นมีประสิทธิภาพ สามารถเติบโตงอกเงย และอยู่กับเราไปนาน ๆ 

1. เงินสำรอง

ก่อนอื่นเราต้องพิจารณาก่อนว่า  มีเงินสำรองไว้เผื่อฉุกเฉิน   3 – 6 เดือนของค่าใช้จ่ายต่อเดือนแล้วหรือไม่  หากยังไม่มีควรกันเงินส่วนหนึ่งเพื่อเป็นเงินส่วนแรกที่สำคัญที่สุด

2. หนี้สิน

พิจารณาหนี้สินที่มีอยู่  หากมีเงินมากพอที่จะปิดหนี้  ควรเลือกปิดหนี้ที่ดอกเบี้ยมากที่สุดก่อนเป็นอันดับแรก เช่น สินเชื่อเงินสด หนี้บัตรเครดิต   เป็นต้น  และหากปิดหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงแล้ว  ก็พิจารณาหนี้บ้าน หรือหนี้รถ แต่หากไม่สามารถปิดหนี้ได้ทั้งหมด เช่น หนี้บ้าน  เราสามารถนำเงินก้อนโปะหนี้บ้านบางส่วน เพื่อลดเงินต้นและลดดอกเบี้ยของหนี้บ้านได้

3. ประกันความเสี่ยง

สำรวจว่าเรามีความเสี่ยงด้านไหนบ้าง  และความเสี่ยงนั้นเราสามารถรับได้เองหรือไม่  หากไม่สามารถรับไว้เอง แนะนำโอนความเสี่ยงให้บริษัทประกันรับความเสี่ยงแทน เช่น ประกันภัยบ้าน /รถยนต์  ประกันอุบัติเหตุ / สุขภาพ เป็นต้น

4. ภาษี

พิจารณาถึงเงินก้อนโตที่ได้มาว่าต้องมีการเสียภาษีหรือไม่  หากต้องนำเงินได้นั้นมายื่นเสียภาษี ควรวางแผนภาษี  ศึกษาถึงสิทธิ์ลดหย่อนต่างๆ  รวมถึงพิจารณาถึงผลิตภัณฑ์การเงินที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ เช่น กองทุน LTF RMF  ประกันออมทรัพย์ / บำนาญ เพื่อประหยัดภาษี ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงกระแสเงินสดของเราในการซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้ด้วย

5. ให้รางวัลตัวเอง

เมื่อได้เงินก้อนโต ย่อมมีสิ่งที่เราอยากได้ ไม่ว่าจะเป็น  อยากได้รถใหม่  อยากได้บ้านใหม่  อยากซื้อที่ดิน  อยากเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่  อยากได้ของขวัญให้กับตัวเอง  เป็นต้น  ซึ่งในหัวข้อนี้เราต้องคำนึงถึง ว่าหากเราอยากได้สิ่งเหล่านี้  แต่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินสดเต็ม จำนวน หากเป็นการเริ่มต้นด้วยการมีหนี้สินตามมา เช่น การนำเงินไปดาวน์บ้าน / รถ ควรคำนึงถึง ศักยภาพความสามารถในการชำระหนี้ที่จะเพิ่มขึ้นด้วย  ว่าควรเกิน 35% – 40% ของรายได้ต่อเดือน  และไม่ควรมีหนี้สินมากกว่า 50% ของทรัพย์สิน

6. เงินที่อยากให้ / เงินบริจาค ทำบุญ

เมื่อมีเงิน หลายท่านก็อยากที่จะแบ่งปัน อาจจะแบ่งให้ลูกหลาน    หรือบริจาคเงินเพื่อสังคม ไม่ว่าจะบริจาคเงิน/ สิ่งของให้ วัด โรงเรียน องค์กรการกุศล โรงพยาบาล เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดี และการบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือสังคม ยังได้รับสิทธิ์ในการนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย

7. การลงทุน

สิ่งที่คนส่วนใหญ่เมื่อมีเงินก็อยากที่จะลงทุนอะไรสักอย่าง  เพื่อให้เงินนั้นงอกเงยและมีรายได้เพิ่มอีกช่องทาง  ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนทำธุรกิจส่วนตัว รวมไปถึงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ทองคำ สินทรัพย์ทางการเงิน อาทิเช่น  กองทุนรวม หุ้นกู้  หุ้น เป็นต้น  ข้อพึงระวังในการลงทุน คือ ความเสี่ยง  ควรมีการกระจายการลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยง  ไม่ควรลงทุนเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง  เพราะหากเกิดความผิดพลาด นั่นหมายถึง การสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดไป  และการลงทุนควรลงทุนในสิ่งที่เรามีความรู้ความเข้าใจ

7 วิธีบริหารเงิน

7 วิธีบริหารเงิน

  1. ใช้บริการ Online Banking
    คุณสามารถหักเงินจากบัญชีหนึ่ง ไปเข้าบัญชีเงินฝากได้อย่างสะดวก ด้วยบริการธุรกิจการเงินผ่าน Online Banking ครับ อย่างเช่นถ้าคุณมีรายรับเป็นประจำทุกเดือนในวันที่ 26 คุณก็สามารถแจ้งให้ธนาคารตัดเงินเพื่อนำไปเก็บเป็นเงินออมในวันที่ 29 ได้เลยครับ โดยที่ระบบจะทำเรื่องตัดเงินโอนเงินให้คุณโดยอัตโนมัติ
  2. ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
    สิ่งแรกที่คุณต้องทำก็คือแยกให้ออกระหว่างรายจ่ายที่จำเป็นกับรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยครับ จากนั้นก็ให้พยายามจำกัดรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยให้ได้ซึ่งคุณจะต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้ เพราะคนส่วนใหญ่มักจะมีเหตุผลสนับสนุนในสิ่งที่อยากได้ทำให้เข้าผิดคิดว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นเสมอ
  3. คิดก่อนใช้จ่าย
    เมื่อเห็นสิ่งที่เรารู้สึกอยากได้อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจซื้อในทันที แต่ให้ยับยั้งใจเอาไปคิดทบทวนให้ดี ๆ ก่อนว่ามันมีความจำเป็นกับเราหรือไม่
  4. มีเป้าหมายในการออมเงิน
    การมีเป้าหมายในการเก็บออมเงินจะช่วยสร้างวินัยในการเก็บออมให้เรามากขึ้น เช่นเราอาจตั้งเป้าหมายว่าเราจะต้องมีเงินเก็บเงินให้ได้ 1 ล้านบาทภายในระยะเวลา 3 ปีเป็นต้น วิธีนี้จะช่วยให้เราพยายามบังคับตัวเองให้พยายามเก็บเงินให้ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งการเก็บเงินโดยไม่มีเป้าหมายนั้นมีโอกาสสูงที่เราจะนำเงินส่วนนั้นมาใช้จ่ายกับเรื่องที่ไม่จำเป็น
  5. แบ่งส่วนรายได้ไว้เป็นเงินออม
    ทำบัญชีการใช้จ่ายในแต่ละเดือน เมื่อหักเงินในส่วนที่แยกไว้สำหรับการใช้จ่ายจากรายรับออกแล้ว เงินที่เหลือจะเก็บไว้เป็นเงินออม โดยคุณอาจเปิดบัญชีเงินฝากแบบประจำเพื่อการเก็บไว้เป็นเงินออมโดยเฉพาะก็ได้ 
  6. เก็บเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน
    การมีเงินก้อนหนึ่งเก็บไว้เป็นเงินทุนสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉินเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อที่เราจะได้มีเงินไว้ใช้จ่ายหรือใช้เป็นทุนเมื่อมีเหตุที่เราไม่คาดฝันมาก่อนเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการที่ต้องออกจากงานอย่างกะทันหันหรือเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ 
  7. สร้างวินัยการออม
    การบริหารเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นจะขาดวินัยไม้ได้เลยไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการใช้จ่ายหรือการออมเงินก็ตาม โดยเราอาจจะฝึกสร้างวินัยในการใช้จ่ายให้มากขึ้น โดยการกำหนดงบประมาณในการใช้จ่ายในแต่ละวันขึ้นมา แล้วพยายามควบคุมตนเองที่จะใช้จ่ายให้ได้ตามนั้น เท่านี้ก็เป็นการสร้างวินัยในการบริหารเงินอย่างหนึ่งแล้วครับ