ผู้เขียน: admin
รับสมัครพนักงาน
สหไพบูลย์ พิโก โมโน สาขา ยางตลาด

📍 ที่อยู่: สหไพบูลย์ พิโก โมโน สาขา ยางตลาด จังหวัด กาฬสินธุ์
เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ: 090-290-5000, 086-861-2999
LINE: @sahaphaiboon-mono
Facebook: @sahaphaiboon.mono
บริการของเรา:
✅ สินเชื่อพิโก (PICO Finance) – กู้เงินเชื่อพิโก ไม่มีค่าจัด รับเงินไปเต็ม
✅ บริการเงินกู้ด่วน – รับจำนำที่ดิน ไม่มีค่าธรรมเนียม
✅ ดอกเบี้ยเพียง 3% ต่อเดือน
✅ ต้นลด ดอกลด (ยิ่งชำระ ยิ่งดอกลด)
คุณสมบัติของบริษัท:
💼 ซื่อสัตย์และซื่อตรง
🏛️ มั่นคงและชัดเจน
👨⚕️ ผู้บริหาร: นพ.ธงชัย เสรีรัตน์
เขตบริการ:
📍 ตั้งอยู่ที่: อำเภอ ยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์
🏛️ พื้นที่ให้บริการ: เมืองกาฬสินธุ์, เมืองมหาสารคาม, เมืองร้อยเอ็ด และพื้นที่ใกล้เคียง
ทำไมต้องเลือกสหไพบูลย์ พิโก โมโน?
✅ บริษัทมีประสบการณ์กว่า 20 ปี ในการให้บริการสินเชื่อ
✅ รับเงินไปเต็มไม่มีค่าธรรมเนียมและค่าจัด
✅ ดอกเบี้ยต่ำ เพียง 3% ต่อเดือน
✅ บริการรวดเร็วและเป็นมิตร
📞 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่: 090-290-5000, 086-861-2999
🔍 คำค้นหายอดนิยม: สินเชื่อพิโก, พิโกไฟแนนซ์, กู้เงินกาฬสินธุ์, จำนำที่ดินกาฬสินธุ์, เงินกู้ยางตลาด, สหไพบูลย์มหาสารคาม, สหไพบูลย์ร้อยเอ็ด



บริหารเงินอย่างไร ? เมื่อได้เงินก้อนโต
หากพูดถึง “เงินก้อนโต” ย่อมเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ล้วนปรารถนา ไม่ว่าจะได้เงินนั้นมาจาก อาทิเช่น มรดก เงินรางวัล โบนัส เงินบำเหน็จ เงินเกษียณ กำไรจากการทำธุรกิจ เป็นต้น เราจะมาพูดถึงหลักการบริหารเงินอย่างไร ให้เงินก้อนโตนั้นมีประสิทธิภาพ สามารถเติบโตงอกเงย และอยู่กับเราไปนาน ๆ
1. เงินสำรอง
ก่อนอื่นเราต้องพิจารณาก่อนว่า มีเงินสำรองไว้เผื่อฉุกเฉิน 3 – 6 เดือนของค่าใช้จ่ายต่อเดือนแล้วหรือไม่ หากยังไม่มีควรกันเงินส่วนหนึ่งเพื่อเป็นเงินส่วนแรกที่สำคัญที่สุด
2. หนี้สิน
พิจารณาหนี้สินที่มีอยู่ หากมีเงินมากพอที่จะปิดหนี้ ควรเลือกปิดหนี้ที่ดอกเบี้ยมากที่สุดก่อนเป็นอันดับแรก เช่น สินเชื่อเงินสด หนี้บัตรเครดิต เป็นต้น และหากปิดหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงแล้ว ก็พิจารณาหนี้บ้าน หรือหนี้รถ แต่หากไม่สามารถปิดหนี้ได้ทั้งหมด เช่น หนี้บ้าน เราสามารถนำเงินก้อนโปะหนี้บ้านบางส่วน เพื่อลดเงินต้นและลดดอกเบี้ยของหนี้บ้านได้
3. ประกันความเสี่ยง
สำรวจว่าเรามีความเสี่ยงด้านไหนบ้าง และความเสี่ยงนั้นเราสามารถรับได้เองหรือไม่ หากไม่สามารถรับไว้เอง แนะนำโอนความเสี่ยงให้บริษัทประกันรับความเสี่ยงแทน เช่น ประกันภัยบ้าน /รถยนต์ ประกันอุบัติเหตุ / สุขภาพ เป็นต้น
4. ภาษี
พิจารณาถึงเงินก้อนโตที่ได้มาว่าต้องมีการเสียภาษีหรือไม่ หากต้องนำเงินได้นั้นมายื่นเสียภาษี ควรวางแผนภาษี ศึกษาถึงสิทธิ์ลดหย่อนต่างๆ รวมถึงพิจารณาถึงผลิตภัณฑ์การเงินที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ เช่น กองทุน LTF RMF ประกันออมทรัพย์ / บำนาญ เพื่อประหยัดภาษี ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงกระแสเงินสดของเราในการซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้ด้วย
5. ให้รางวัลตัวเอง
เมื่อได้เงินก้อนโต ย่อมมีสิ่งที่เราอยากได้ ไม่ว่าจะเป็น อยากได้รถใหม่ อยากได้บ้านใหม่ อยากซื้อที่ดิน อยากเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ อยากได้ของขวัญให้กับตัวเอง เป็นต้น ซึ่งในหัวข้อนี้เราต้องคำนึงถึง ว่าหากเราอยากได้สิ่งเหล่านี้ แต่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินสดเต็ม จำนวน หากเป็นการเริ่มต้นด้วยการมีหนี้สินตามมา เช่น การนำเงินไปดาวน์บ้าน / รถ ควรคำนึงถึง ศักยภาพความสามารถในการชำระหนี้ที่จะเพิ่มขึ้นด้วย ว่าควรเกิน 35% – 40% ของรายได้ต่อเดือน และไม่ควรมีหนี้สินมากกว่า 50% ของทรัพย์สิน
6. เงินที่อยากให้ / เงินบริจาค ทำบุญ
เมื่อมีเงิน หลายท่านก็อยากที่จะแบ่งปัน อาจจะแบ่งให้ลูกหลาน หรือบริจาคเงินเพื่อสังคม ไม่ว่าจะบริจาคเงิน/ สิ่งของให้ วัด โรงเรียน องค์กรการกุศล โรงพยาบาล เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดี และการบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือสังคม ยังได้รับสิทธิ์ในการนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย
7. การลงทุน
สิ่งที่คนส่วนใหญ่เมื่อมีเงินก็อยากที่จะลงทุนอะไรสักอย่าง เพื่อให้เงินนั้นงอกเงยและมีรายได้เพิ่มอีกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนทำธุรกิจส่วนตัว รวมไปถึงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ทองคำ สินทรัพย์ทางการเงิน อาทิเช่น กองทุนรวม หุ้นกู้ หุ้น เป็นต้น ข้อพึงระวังในการลงทุน คือ ความเสี่ยง ควรมีการกระจายการลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยง ไม่ควรลงทุนเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะหากเกิดความผิดพลาด นั่นหมายถึง การสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดไป และการลงทุนควรลงทุนในสิ่งที่เรามีความรู้ความเข้าใจ
7 วิธีบริหารเงิน
7 วิธีบริหารเงิน
- ใช้บริการ Online Banking
คุณสามารถหักเงินจากบัญชีหนึ่ง ไปเข้าบัญชีเงินฝากได้อย่างสะดวก ด้วยบริการธุรกิจการเงินผ่าน Online Banking ครับ อย่างเช่นถ้าคุณมีรายรับเป็นประจำทุกเดือนในวันที่ 26 คุณก็สามารถแจ้งให้ธนาคารตัดเงินเพื่อนำไปเก็บเป็นเงินออมในวันที่ 29 ได้เลยครับ โดยที่ระบบจะทำเรื่องตัดเงินโอนเงินให้คุณโดยอัตโนมัติ - ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
สิ่งแรกที่คุณต้องทำก็คือแยกให้ออกระหว่างรายจ่ายที่จำเป็นกับรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยครับ จากนั้นก็ให้พยายามจำกัดรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยให้ได้ซึ่งคุณจะต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้ เพราะคนส่วนใหญ่มักจะมีเหตุผลสนับสนุนในสิ่งที่อยากได้ทำให้เข้าผิดคิดว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นเสมอ - คิดก่อนใช้จ่าย
เมื่อเห็นสิ่งที่เรารู้สึกอยากได้อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจซื้อในทันที แต่ให้ยับยั้งใจเอาไปคิดทบทวนให้ดี ๆ ก่อนว่ามันมีความจำเป็นกับเราหรือไม่ - มีเป้าหมายในการออมเงิน
การมีเป้าหมายในการเก็บออมเงินจะช่วยสร้างวินัยในการเก็บออมให้เรามากขึ้น เช่นเราอาจตั้งเป้าหมายว่าเราจะต้องมีเงินเก็บเงินให้ได้ 1 ล้านบาทภายในระยะเวลา 3 ปีเป็นต้น วิธีนี้จะช่วยให้เราพยายามบังคับตัวเองให้พยายามเก็บเงินให้ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งการเก็บเงินโดยไม่มีเป้าหมายนั้นมีโอกาสสูงที่เราจะนำเงินส่วนนั้นมาใช้จ่ายกับเรื่องที่ไม่จำเป็น - แบ่งส่วนรายได้ไว้เป็นเงินออม
ทำบัญชีการใช้จ่ายในแต่ละเดือน เมื่อหักเงินในส่วนที่แยกไว้สำหรับการใช้จ่ายจากรายรับออกแล้ว เงินที่เหลือจะเก็บไว้เป็นเงินออม โดยคุณอาจเปิดบัญชีเงินฝากแบบประจำเพื่อการเก็บไว้เป็นเงินออมโดยเฉพาะก็ได้ - เก็บเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน
การมีเงินก้อนหนึ่งเก็บไว้เป็นเงินทุนสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉินเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อที่เราจะได้มีเงินไว้ใช้จ่ายหรือใช้เป็นทุนเมื่อมีเหตุที่เราไม่คาดฝันมาก่อนเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการที่ต้องออกจากงานอย่างกะทันหันหรือเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ - สร้างวินัยการออม
การบริหารเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นจะขาดวินัยไม้ได้เลยไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการใช้จ่ายหรือการออมเงินก็ตาม โดยเราอาจจะฝึกสร้างวินัยในการใช้จ่ายให้มากขึ้น โดยการกำหนดงบประมาณในการใช้จ่ายในแต่ละวันขึ้นมา แล้วพยายามควบคุมตนเองที่จะใช้จ่ายให้ได้ตามนั้น เท่านี้ก็เป็นการสร้างวินัยในการบริหารเงินอย่างหนึ่งแล้วครับ
เงินทองต้องวางแผน
3 เคล็ดลับ บริหารเงิน “มนุษย์เงินเดือน” รับศักราชใหม่…มีอะไรบ้าง
- จน หรือ รวย ขึ้นอยู่กับ “การบริหารรายจ่าย”
ในแต่ละเดือน “มนุษย์เงินเดือน” มีรายได้ที่แน่นอน รู้แน่ชัดว่าจะได้รับเงินเท่าไหร่ และวันไหน แต่สิ่งที่หลายคนละเลยก็คือ “รายจ่าย” ที่เกิดขึ้น ทั้ง …
- รายจ่ายประจำ (ค่าน้ำ ค่าไฟ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าโทรศัพท์ อาหารการกิน ฯลฯ)
- รายจ่ายผันแปร (ไปตามกิเลส) (เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ท่องเที่ยว ปาร์ตี้ ฯลฯ)
ดังนั้น ถ้าเราควบคุมรายจ่ายไม่ได้…ไม่มีทางรวยแน่นอน เพราะรายได้เท่าเดิม…รายจ่ายบวมขึ้น ก็กัดกินเงินที่ควรจะเก็บออมไปเรื่อยๆ เผลอๆ บางคนเงินไม่พอใช้…ไปก่อหนี้เพื่อสนองกิเลสตัวเองอีก อย่างนี้ยิ่งน่าเป็นห่วง
เคล็ดลับ : “มนุษย์เงินเดือน” ควรให้น้ำหนักกับการ “บริหารรายจ่าย” โดยนำรายได้สุทธิ (ย้ำว่า “สุทธิ” คือ รายได้ทั้งหมด (สมมติ = 30,000 บาท) ไปหักประกันสังคม, หักกบข. หรือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, หักหนี้สินที่ต้องจ่ายประจำ (ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ)) รับมาเท่าไหร่ (สมมติ = 28,000 บาท) ให้เก็บออม หรือ ลงทุนก่อน อย่างน้อยที่สุด 10% (2,800 บาท) แล้วค่อยนำเงินที่เหลือ (28,000-2,800 = 25,200 บาท) ไปบริหารรายจ่าย ด้วยการนำเงินก้อนไปหาร 4 แล้วแบ่งใช้เป็นรายสัปดาห์ (25,200 ÷ 4 = 6,300 บาท) จากนั้นกดเงินสด (6,300 บาท) มาใช้สัปดาห์ละครั้ง และใช้ให้พอกับเงินที่มีในกระเป๋า แค่นี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะใช้จ่ายเกินตัว…ได้ใช้เงินตามกำลัง และยังมีเก็บออม (ลงทุน) อีกด้วย
- ทำงาน “ความเสี่ยงต่ำ” ก็ควรลงทุน “ความเสี่ยงสูง”
ว่ากันว่า “มนุษย์เงินเดือน” น่ะมีความมั่นคง เมื่อเทียบกับคนที่ทำอาชีพอิสระ หรือ นักธุรกิจ เพราะมีรายได้ที่แน่นอน โอกาสไม่มีงานทำน้อย ความเสี่ยงที่จะถูกเลิกจ้างต่ำ แถมจะทำงานหรือไม่ทำ (ลาพักร้อน ลาป่วย ลากิจ) ก็ยังมีรายได้เหมือนเดิม เห็นมั้ยว่า “ความเสี่ยงต่ำ” จริงๆ
แหมๆๆ อย่าเพิ่งดีใจไป เพราะการทำงานก็เหมือนกับการลงทุน “ความเสี่ยงต่ำ…โอกาสได้รับผลตอบแทนต่ำ” ดังนั้น กว่าจะมั่งคั่งก็คงต้องใช้เวลามากกว่าคนที่ทำอาชีพอิสระ หรือ นักธุรกิจ ถ้าอย่างนั้น “มนุษย์เงินเดือน” จะทำยังไงดีล่ะ?
เคล็ดลับ : ข้อได้เปรียบของ “มนุษย์เงินเดือน” ที่ “ทำงานความเสี่ยงต่ำ” ก็คือ ชีวิตของเรายืนอยู่บนความแน่นอนในระดับหนึ่ง ดังนั้นรูปแบบการลงทุนจึงสามารถสวนทางกับรูปแบบการทำงาน เพื่อสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นได้…หมายความว่า “ทำงานความเสี่ยงต่ำ” (มนุษย์เงินเดือน) แล้ว…ก็แบ่งให้เงินทำงานหนักแทนเราด้วยการ “ลงทุนความเสี่ยงสูง” สักนิด เช่น ลงทุนในกองทุนรวมหุ้น หรือหุ้นพื้นฐานดี เงินจะได้งอกเงย เพิ่มค่าทันกับเงินเฟ้อ หรือพอใช้ในยามเกษียณ (แต่ก็ลงทุนอย่างมีความรู้ และเข้าใจในสิ่งที่ลงทุนด้วย)
ไม่ใช่ทำงานความเสี่ยงต่ำ แล้วยังไปลงทุนความเสี่ยงต่ำ (เงินฝาก ตราสารหนี้) แบบนี้โอกาสที่เงินจะเติบโตเห็นทีจะใช้เวลานานแสนนานเลยทีเดียว…สภาพคล่องน่ะมีได้ แต่แค่พอใช้ 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายก็พอแล้ว
- วางแผนภาษีดี… มีเงินเหลือใช้
ภาษิตฝรั่งเขียนไว้ว่า 2 เรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตนี้คือ “ภาษี และ ความตาย” โดยเฉพาะภาษีที่เป็นหน้าที่ของเราทุกคน… รู้หรือไม่ว่าหากเรา “วางแผนภาษี” ดีๆ แต่ละปีจะมีเงินเหลือใช้มากทีเดียว เพราะเฟิร์นเองก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้ประโยชน์จากการวางแผนภาษี จนทำให้สามารถนำเงินคืนภาษีแต่ละปี ไปเที่ยวต่างประเทศได้แบบสบายๆ
เคล็ดลับ : วางแผนภาษีตั้งแต่ “ต้นปี” เพราะ “มนุษย์เงินเดือน” อย่างเราประมาณการณ์รายได้ตลอดปีได้ไม่ยาก ก็แค่นำเงินเดือน (ที่ปรับใหม่ … ถ้าได้ปรับ!) คูณ 12 แล้วบวกเงินส่วนเพิ่มต่างๆ ทั้งโบนัส โอที เงินพิเศษ ฯลฯ เสร็จแล้วก็ไปคำนวนภาษี (ตามลิงค์นี้ http://www.set.or.th/project/caltools/TSIFinTools/tax.html) เพื่อพิจารณาดูว่าเราสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีอะไรได้บ้าง มากน้อยแค่ไหน เพื่อจะได้ประหยัดภาษี และเริ่มต้นวางแผนภาษีให้เป็นอัตโนมัติตั้งแต่ต้นปี!
แผนที่
การบริหารการเงินที่ดี
เคล็ดลับของการบริหารการเงินที่ดี
- จัดทำแผนรายได้ ค่าใช้จ่าย โดยเพื่อน ๆ อาจจะเริ่มจากการทำบัญชี รับจ่าย แยกเป็นรายเดือน ผมขอแนะนำเคล็ดลับให้เพื่อน ๆ ใช้สมการแห่งความร่ำรวย ดังนี้ครับ
รายได้ – เงินออม – เงินลงทุน = รายจ่าย
โดยให้เพื่อน ๆ หักเงินออมไว้ก่อน และต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับลงทุนด้วย เพื่อให้เงินทำงาน เงินทองจะได้งอกเงยยิ่ง ๆ ขึ้นไป จากนั้นเหลือจึงนำไปใช้จ่ายนะครับ
- วางแผนการคุ้มครองตนเองและครอบครัว โดยก่อนที่เพื่อน ๆ จะลงทุน ขอให้สำรองเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นการคุ้มครองตนและครอบครัวก่อน อย่างเช่น ประกันชีวิตและอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพของตนและคนในครอบครัว ประกันการผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งการทำประกันในสมัยนี้ถือได้ว่าเป็นการลงทุนประเภทหนึ่งได้ด้วยนะครับ ตัวอย่างเช่น การประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ที่จะมีดอกเบี้ยให้เราด้วย
- ถ้าเพื่อน ๆ เริ่มต้นออมเงินและลงทุนตั้งแต่วันนี้ ก็จะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าเร็วขึ้น ซึ่งระยะเวลาการลงทุนเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงสำหรับการได้รับผลตอบแทน เพราะยิ่งออมหรือลงทุนนานก็จะได้รับผลตอบแทนที่มากกว่า
- กระจายการลงทุนในพอร์ตการลงทุนอย่างเหมาะสม อย่าลงทุนกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินประเภทใดประเภทหนึ่งเพียงอย่างเดียว เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนสูง เพราะจะมีความเสี่ยงที่สูงมากในกรณีที่ลงทุนนั้นเกิดขาดทุน ควรจัดสรรพอร์ตการลงทุนโดยลงทุนในผลิตภัณฑ์การเงินแต่ละประเภทอย่างเหมาะสม เช่น แบ่งเงินลงทุนในเงินฝากออมทรัพย์ กองทุนรวมตลาดเงิน กลุ่มสินทรัพย์เหล่านี้มีความเสี่ยงต่ำที่สุด ต่อมาแบ่งเงินลงทุนในกลุ่มเงินฝากประจำ พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุนรวมตราสารหนี้ ซึ่งมีความเสี่ยงปานกลาง สุดท้ายแบ่งเงินลงทุนในหุ้น กองทุนรวมหุ้น ETF ซึ่งเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่จะช่วยเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนได้ในระยะยาวครับ
- การจัดการเกี่ยวกับการเงินควรจะมีการยืดหยุ่น เพื่อปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ในช่วงเวลาต่าง ๆ ของชีวิต
- หลีกเลี่ยงการเป็นหนี้โดยไม่จำเป็น เพราะจะทำให้เราไม่มีเงินเหลือเก็บออม และลงทุน นอกจากนั้นอาจทำให้การเงินเราติดลบด้วยนะครับ ผมจึงอยากแนะนำให้เพื่อน ๆ ใช้ชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงครับ
การบริหารการเงินนั้นมีประโยชน์มากมาย
- ทำให้เราจัดการด้านการเงินอย่างเป็นระบบ
- ทำให้เรามีเงินเหลือไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ยามเจ็บป่วย
- ทำให้เรามีรายได้เพียงพอกับรายจ่ายที่จำเป็น
- ทำให้เรามีเงินออมไว้สำหรับเก็บเกี่ยวดอกผล
- ทำให้เรามีฐานะความมั่นคงทางการเงิน
- ทำให้เรามีแผนการเงินสำหรับอนาคตยามปลดเกษียณ
และที่สำคัญ คือ ทำให้เรามีอนาคตที่มั่นคงและมีความสุข
รับจำ โฉนดที่ดิน ดอกร้อยละ 3 ต้นลด ดอกลด ไม่มีค่าจัด รับเงินเต็มๆ
